วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาทำความรู้จักกับ "อำพัน" (Amber) กันดีกว่า by gems-place

15
อำพันมีหลายชนิด เช่น ค้นพบในทะเลเรียกว่า อำพันทะเล ส่วนอำพันบ่อค้นพบด้วยการขุดลงไปในดิน โดยส่วนมากจะพบอำพันในบริเวณทะเลบอลติก ซึ่งในอำพันมีส่วนผสมของยางสนหลายชนิดกับกรดซักซินิกและหัวน้ำมัน (Volatile Oil) และภายในอำพันนั้น มักจะมีแมลงต่างๆตายติดอยู่ภายในด้วยเช่น แมลงปอ แมงป่อง ฯลฯ หรือเศษเปลือกไม้ ใบไม้ ฟองอากาศ เป็นต้น แมลงต่างๆเมื่อติดกับความเหนียวของยางสนก็จะพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด จนกระทั่งตายไป เมื่อถูกยางสนทับถมมากขึ้นก็จะถูกฝังอยู่ภายในเป็นการรักษารูปร่างของสิ่ง แปลกปลอมเหล่านั้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์และมีประโยชน์มากที่สุด ทำให้คนในยุคปัจจุบันได้ใช้ศึกษาและเปรียบเทียบถึงการพัฒนาโครงสร้างของ สัตว์ต่างๆเมื่อหลายสิบล้านปีมาแล้วกับปัจจุบัน แต่มีอำพันจำนวนมากอีกเช่นกันที่มีเนื้อใสสะอาดไม่มีสิ่งแปลกปลอมแทรกอยู่ ซึ่งอำพันชนิดนี้จะมีราคาสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า โดยเฉพาะกับตลาดอัญมณีในสหรัฐอเมริกา ส่วนชนิดที่มีสิ่งแปลกปลอมแทรกอยู่เช่น เศษใบไม้ ฟองอากาศ ฯลฯ จะมีราคาถูกยกเว้นพบพวกซากสัตว์ต่างๆจะมีราคาสูง



ตำนานเกี่ยวกับอำพัน
ใน นิยายกรีกโบราณมีอยู่ว่า  อำพันเกิดจากน้ำตาของบรรดาน้องสาวเฟตัน เฟตันเป็นลูกชายของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ชอบนั่งรถสองล้อของบิดา ได้พลัดตกลงมาจากสวรรค์ตาย ศพของเฟตันถูกนำไปฝังไว้ที่แม่น้ำเอริตานุส  บรรดาน้องสาวเฟตันที่ได้ร่วมพิธีฝังศพต่างเศร้าโศกยิ่งจนกลายเป็นต้นไม้  น้ำตาที่ไหลออกมาก็กลายเป็นอำพันไป อำพันเป็นที่นิยมมากในสมัยจักรพรรติเนโรแห่งโรม  โดยมีค่าใช้แลกทาสได้

คุณสมบัติทางอัญมณี
อำพัน มีความแข็ง 2-2.5 โมห์สเกล มีความวาวแบบยางสน เนื่องจากอำพันมีระดับความแข็งที่ต่ำมากจึงเกิดริ้วรอยขูดขีดได้ง่ายแม้แต่ เล็บก็สามารถขูดอำพันให้เป็นรอยได้ และมีดธรรมดาก็สามารถตัดอำพันให้ขาดเป็นท่อนๆได้เช่นกัน นอกจากนี้ฝุ่นละอองของแร่ควอร์ตซ์ (quartz) ในอากาศก็สามารถทำให้ผิวของอำพันลดความมันวาวลงไปได้เรื่อยๆแม้ว่าเจ้าของจะ พยายามใช้สอยอำพันอย่างทะนุถนอมและระมัดระวังเพียงใดก็ตาม ดังนั้นจึงต้องเก็บอำพันแยกจากอัญมณีอื่นๆ



แหล่งที่ค้นพบและความนิยม
อำพัน ถูกค้นพบครั้งแรกที่บริเวณแนวชายฝั่งทะเลบอลติกและในปัจจุบันแถบชายฝั่งทะเล บอลติกก็ยังคงเป็นแหล่งอำพันที่ใหญ่มากอยู่เช่นเดิม ถือว่าเป็นแหล่งที่มีคุณภาพดีที่สุด และมีราคาสูงกว่าแหล่งอื่นๆ แหล่งที่สำคัญอื่นๆได้แก่ โปแลนด์ รัสเซีย ลิทัวเนีย แลตเวีย ถึงจะพูดได้ว่าอำพันที่มีคุณภาพดีจะมีราคาสูงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับอัญมณี อื่นๆแล้วราคาของอำพันก็ยังจัดว่าอยู่ในกลุ่มค่อนข้างถูกอยู่ดีทั้งนี้เพราะ คุณสมบัติทางด้านความแข็ง ความวาว ฯลฯ ที่ค่อนข้างด้อยคุณภาพนั่นเอง

นอก จากอำพันจะเป็นที่นิยมของตลาดยุโรป อเมริกา และแอฟริกาแล้ว ยังเป็นอัญมณียอดนิยมของญี่ปุ่นอีกด้วย โดยความนิยมนั้นมีมากถึงขนาดเรียกขานอำพันว่า “Kokaku” อันหมายถึง สิ่งที่สามารถเร่งเร้าหัวใจให้บังเกิดความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาและ บังเกิดจินตนาการอันหลากหลายมากมาย ในประเทศญี่ปุ่นเคยค้นพบอำพันตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 แต่ก็มีปริมาณไม่มากนักจึงได้นำเข้าจาก รัสเซียและแหล่งอื่นๆเป็นจำนวนมาก

รูปแบบการเจียระไน
นิยม เจียระไนอำพันเป็นลูกปัดแบบต่างๆร้อยเป็นสายสร้อยหรือเจียระไนเป็นหลังเบี้ย ทำเป็นหัวแหวน ต่างหู จี้ กำไล ฯลฯ หรือ เจียระไนตามเค้าโครงรูปก้อนเดิม อันเป็นการคงความงามไว้ตามธรรมชาติ

อำพันเลียนแบบ
ยางของต้นไม้ชนิดต่างๆอาจนำมาเลียนแบบเป็นอำพัน เช่น ยางสนอายุต่ำที่เรียกว่า โคปอล (Copal ) พลาสติก


การปรับปรุงคุณภาพอำพัน
มนุษย์ มีความพยายามในการปรับปรุงลักษณะภายนอกของอำพันให้ดูสวยงามยิ่งขึ้นโดยการ ต้มอำพันในน้ำมัน ( Heating in oil ) เพื่อทำให้เนื้อในดูโปร่งใสขึ้นแต่การต้มจะทำให้เนื้อในเกิดเป็นรอยแตกเป็น แผ่นเรียกว่า “ซันสแปงเกิล” (Sun Spangles) เป็นตำหนิที่มีลักษณะคล้ายแผ่นใบไม้นั่นเอง และยังมีการเผาเพื่อย้อมสี เป็นการทำเพื่อเปลี่ยนสีไปตามความนิยม รวมทั้งการทำเอมเบอรอยด์ (Amberoid) ซึ่งเป็นการทำชิ้นส่วนของอำพันให้เป็นชิ้นใหญ่ขึ้น โดยการนำเอาอำพันชิ้นเล็กๆมาเผาหลอมเข้ารวมเป็นก้อนเดียวกัน


วิธีตรวจสอบ
อำพัน แท้มีความถ่วงจำเพาะต่ำมาก จึงสามารถลอยอยู่ในน้ำทะเลได้เราสามารถตรวจสอบอย่างง่ายๆโดยการนำอำพันไปลอย ในแก้วน้ำเกลือถ้าอำพันจมน้ำก็แปลว่าเป็นของปลอม
อีกวิธีหนึ่งก็คือการ ทดสอบด้วยแรงดูดจากอำนาจไฟฟ้าโดยการนำอำพันไปถูกับผ้าขนสัตว์และจะเกิดอำนาจ ทางไฟฟ้าขึ้นภายในแท่งอำพันนั้นทำให้สามารถดูดวัตถุชิ้นเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆ ได้ทำการเปรียบเทียบกับแท่งแก้วหรือพลาสติกหากอำพันมีระยะดูดวัตถุที่ไกล กว่าแสดงว่าอำพันนั้นเป็นของแท้ ด้วยคุณสมบัติของอำพันที่เมื่อเสียดสีจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า และยังเป็นฉนวนไฟฟ้าได้ดี  จึงนำไปใช้ทำเครื่องมือทางฟิสิกส์ด้วย ชาวกรีกถึงกับตั้งชื่อให้ว่า “อีเล็กทรอส” (Elektros) เนื่องมาจากความมีลักษณะที่พิเศษนี้ ซึ่งความหมายของคำว่า elektros ในภาษาอังกฤษ ก็คือ Amber นั่นเอง
อย่างไรก็ตามอาจมีแท่งแก้วหรือ พลาสติกบางชนิดที่สามารถเกิดแรงดูดมากพอๆกับอำพันก็เป็นได้จึงจำเป็นต้องใช้ วิธีอื่นประกอบในการตรวจสอบด้วยเพื่อให้เกิดความแน่นอนและแม่นยำขึ้น